ฉันท์
เป็นคำประพันธ์ที่ไทยรับมาจากวรรณคดีบาลี ภาษาบาลีเป็นภาษาที่มีการใช้
เสียงหนักเบาซึ่งเรียกว่าเสียงครุลหุ การนำรูปแบบฉันท์จากตำราฉันท์ของอินเดียนั้นไม่มี
บังคับสัมผัส เราจึงได้เติมสัมผัสบังคับเข้าไปเพื่อให้ไพเราะตามรสนิยมของคนไทย ดังนั้น
ฉันท์จึงกำหนดคณะ สัมผัส และคำครุคำลหุด้วย ดังนี้
คำครุ ( ั ) คำที่มีเสียงหนัก ได้แก่ คำที่มีตัวสะกด คำที่ประกอบด้วย
สระเสียงยาวในแม่ ก กา และคำที่ประสมสระอำ ไอ เอา ได้แก่ ตา ดำ หัด เรียน เป็นต้น
คำลหุ ( ุ ) คำทีมีเสียงเบา ได้แก่ คำที่ประกอบด้วยสระเสียงสั้นในแม่กา เช่น จะ ดู เถอะ ซิ โต๊ะ เป็นดัน บางบทอาจใช้คำ บ หรือคำที่ประสมด้วยสระ อำ เป็นคำลหุ
การนำฉันท์มาแต่งนั้น กวีไทยไม่ได้นำฉันท์ในคัมภัร์ของอินเดียมาใช้ทั้งหมด เมื่อ
นำมาใช้บางครั้งก็ไม่เคร่งครัดครุลทุและยังมีส่วนที่คิดประดิษฐ์ขึ้นใหม่อีกด้วย ในบทความนี้จะกล่าวถึงเฉพาะฉันท์ที่นิยมใช้ในบทประพันธ์ไทย ดังนี้
วิชชุมมาลาฉันท์ ๘
แผนผัง คำประพันธ์ประเภทวิชชุมมาลาฉันท์ จำนวน ๑ บท
ตัวอย่าง บทประพันธ์ประเภทวิชชุมมาลาฉันท์ ๘ จำนวน ๑ บท
"แรมทางกลางเดือน ห่างเพื่อนหาผู้
หนึ่งใดนึกดู เห็นใครไป่มี
หลายวันถั่นล่วง เมืองหลวงธานี
นามเวสาลี ดุ่มเดาเข้าไป"
(สามัคคีเภทคำฉันท์, ชิต บุรทัต)
ฉันทลักษณ์
๑. คณะ - ๑ บท มี ๘ วรรค หรือ ๔ บาท, ๑ บาทมี ๒ วรรค วรรรละ ๔ คำ (รวม ๑
บาท มี ๘ คำ)
๒. สัมผัส - คำสุดท้ายวรรคแรกสัมผัสกับคำที่สองของวรรคที่ ๒, คำสุดท้ายของ
วรรคที่ ๒ สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ ๓ คำสุดท้ายของวรรคที่ ๔ สัมผัสกับคำสุดท้าย
ของวรรคที่ ๖ และคำสุดท้ายของวรรคที่ ๗ คำสุดท้ายของวรรคที่ ๕ สัมผัสกับคำที่สองของวรรคที่ ๖
๓. สัมผัสระหว่างบท - คำสุดท้ายของบทต้นสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ ๔ ของ
บทถัดไป
๔. ทุกวรรคใช้คำครุล้วน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น